ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2563
-
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2563 คืออะไร ทำไมต้องปรับเปลี่ยน?
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2563 นี้จะนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งเริ่มใช้เมื่อปี 2508 ราคากลางไม่มีการปรับมาเป็นเวลานาน อัตราภาษีถดถอย มีการยกเว้นลดหย่อนจำนวนมาก และยังจะแก้ไขปัญหาภาษีโรงเรือนและที่ดินซึ่งมีฐานภาษีซ้ำซ้อนกับภาษีเงินได้
-
แล้วใครต้องเสียภาษีอสังหาฯ นี้?
- เจ้าของที่ดิน/สิ่งปลูกสร้าง
- เจ้าของห้องชุด
- ผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือทำประโยชน์ในทรัพย์สินของรัฐ(ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง)
-
การแบ่งประเภทที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
- เกษตรกรรม ใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อบริโภค หรือจำหน่ายเพื่อบริโภค หรือใช้งานในฟาร์ม จะต้องปลูกต้นไม้ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด ทั้งชนิดต้นไม้และปริมาณการปลูก เช่น การปลูกกล้วยต้องไม่ต่ำกว่า 200 ต้นต่อไร่ หากทำเกษตรกรรมไม่เต็มพื้นที่ต้องเสียภาษีตามสัดส่วนการใช้งาน
- ที่อยู่อาศัย แบ่งเป็น “บ้านหลังหลัก” คือเจ้าของบ้านมีชื่อในโฉนด + ทะเบียนบ้าน (ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าบ้าน แต่เจ้าของคนใดคนหนึ่งมีชื่อในทะเบียนบ้าน)
“บ้านหลังอื่นๆ” คือ เจ้าของบ้านมีชื่อในโฉนด แต่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน - ที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ
- อื่นๆ เช่น พาญิชยกรรม อุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน โรงแรม ฯลฯ
-
อัตราการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
การจัดเก็บภาษีจะคำนวณจาก “ราคาประเมิน” ของสิ่งปลูกสร้าง ที่ดิน หรือห้องชุด โดยสามารถค้นข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของกรมธนารักษ์ http://property.treasury.go.th/pvmwebsite/ ซึ่งใช้เป็นราคากลางของแต่ละเขตพื้นที่แตกต่างกันไป มีอัตราการจัดเก็บภาษีดังนี้ (ภาพจาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง)

-
การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
สำหรับที่อยู่อาศัยได้รับการยกเว้นภาษีได้แก่ บ้านหลังหลัก คือเจ้าของบ้านมีชื่อในโฉนด + ทะเบียนบ้าน (ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าบ้าน แต่เจ้าของคนใดคนหนึ่งมีชื่อในทะเบียนบ้าน) ถ้าเป็นเจ้าของทั้งที่ดินและบ้านจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่า 50 ล้านบาทแรก ถ้าเป็นเจ้าของแค่เฉพาะตัวบ้านอย่างเดียวไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน ในกรณีนี้จะได้รับยกเว้นภาษี 10 ล้านบาทแรก
ในขณะที่ “บ้านหลังที่สอง หรือหลังอื่น” คือ เจ้าของบ้านมีชื่อในโฉนด แต่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน หากลักษณะการทำประโยชน์ของสิ่งปลูกสร้างเป็น “อยู่อาศัย” จะต้องเสียภาษีล้านละ 200 บาท ตั้งแต่บาทแรก แต่หากลักษณะการทำประโยชน์ของสิ่งปลูกสร้างเป็น “อื่นๆ” จะต้องเสียภาษีล้านละ 3,000 บาท
สำหรับที่ดินที่ใช้ทำเกษตรกรรมโดยจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีใน 3 ปีแรก ส่วนปีที่ 4 เป็นต้นไปจะยกเว้นมูลค่า 50 ล้านบาทแรก และการทำเกษตรกรรมนั้นจะมีข้อกำหนดต่างๆ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด ทั้งชนิดต้นไม้และปริมาณการปลูก เช่นต้องปลูกพืชเต็มพื้นที่ หรือประมาณ 200 ต้นต่อไร่ เป็นต้น

-
ข้อเท็จจริงการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

-
วิธีการคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2563

-
ตัวอย่างการคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
- นางสาวบีเป็นเจ้าของบ้านเดี่ยวซึ่งปลูกบนที่ดินของตนเอง และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ราคาประเมินบ้านของนางสาวบีอยู่ที่ 7 ล้านบาท บ้านหลังนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีเนื่องจากบ้านมีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท
- นายซีดีเป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินราคา 60 ล้านบาท นายซีดีเป็นเจ้าของและมีชื่อในทะเบียนบ้าน จะเห็นว่ามูลค่าของบ้านและที่ดินเกิน 50 ล้านบาท ต้องมีการเสียภาษีโดยจะคิดภาษีดังนี้
ต้องหักมูลค่าที่ยกเว้นออกไปก่อน 60 – 50 = 10 ล้านบาท จากตารางมูลค่าทรัพย์สินอยู่ในช่วง 50 – 75 ล้านบาท อัตราภาษีคือ 0.03% ดังนั้น 0.03% x 10,000,000 ดังนั้นนายซีดีจะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเท่ากับ 3,000 บาทต่อปี - นางสาวไก่ปลูกบ้านราคา 9 ล้านบาทบนที่ดินของนายซีดี กรณีนี้นางสาวไก่จะไม่ต้องเสียภาษีเพราะมูลค่าบ้านไม่ถึงสิบล้าน
- นางสาวกวางปลูกบ้านราคา 20 ล้านบาทบนที่ดินของนายกุ้ง กรณีนี้นางสาวกวางจะต้องเสียภาษีเพราะมูลค่าบ้านเกิน 10 ล้านบาท กรณีที่สร้างบ้านบนที่ดินคนอื่นเราจะมีสิทธิ์ยกเว้นภาษีได้เพียง 10 ล้านบาท ดังนั้นเราก็เอา 20,000,000 – 10,000,000 = 10,000,000 บาท และดูจากตารางราคาบ้านที่เหลืออยู่ในช่วง 10 – 50 ล้านบาทเอา 0.02% x 10,000,000 นั่นคือนางสาวกวางจะเสียภาษี 2,000 บาท
- น้ากมล มีบ้านพร้อมที่ดินอยู่ 3 หลัง โดยน้ากมลเป็นเจ้าของบ้านทั้ง 3 หลังเลย (บ้านหลังที่ 1 ราคา 60 ล้านบาท , บ้านหลังที่ 2 ราคา 8 ล้านบาท , บ้านหลังที่ 3 ราคา 10 ล้านบาท) น้ากมลพักอาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหลังที่ 3
กรณีนี้น้ากมลจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีบ้านหลังที่ 3 ที่ตัวเองเป็นเจ้าของและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน แต่บ้านอีก 2 หลังต้องเสียภาษี สรุปได้ดังนี้
- บ้านหลังที่ 1 = ราคา 60 ล้านบาท เสียภาษี 60 ล้านบาท x 0.02% = 12,000 บาท
- บ้านหลังที่ 2 = ราคา 8 ล้านบาท เสียภาษี 8 ล้านบาท x 0.02% = 1,600 บาท
- บ้านหลังที่ 3 = ราคา 10 ล้านบาท ยกเว้นภาษี เนื่องจากเป็นเจ้าของและมีชื่อในทะเบียนบ้าน มูลค่าบ้านไม่เกิน 50 ล้านบาท
- น้ากมลจะต้องเสียภาษีรวมทั้งหมด 13,600 บาท